วันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ท่องเที่ยวด้วยความรู้ : ที่วัดไตรมิตรวิทยาราม


...... รู้จักมั้ย วัดไตรมิตร  ........


พระมหามณฑปประดิษฐานพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร 
(หลวงพ่อทองคำ)
วัดไตรมิตรวิทยาราม  วรวิหาร



“วิจิตรงดงาม  ยิ่งใหญ่สมฐานะบารมี แห่งพระพุทธรูปทองคำล้ำค่าของโลก”
ประวัติความเป็นมา  ของวัดไตรมิตร
จัดสร้างขึ้นด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกับชุมชนเยาวราช  ประชาคมนักธุรกิจเขตสัมพันธ์วงศ์วัดไตรมิตรวิทยารามและพุทธศาสนิกชนทั่วไป  
วัตถุประสงค์ของการสร้าง
เพื่อเฉลิมพระเกิยรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา  5 ธันวาคม  2550 และเพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากรให้มีความวิจิตรงดงามและยิ่งใหญ่สมฐานะบารมีแห่งพุทธรูปทองคำล้ำค่าของโลก

แหล่งเรียนรู้ ใน ... วัดไตรมิตร..
                 เริ่มด้วยการกราบพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร (ชั้น 4 )  พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร หรือ หลวงพ่อทองคำ เป็นพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะสุโขทัย สร้างด้วยทองคำเนื้อเจ็ดน้ำสองขา เล่ากันว่าเคยมีปูนพอกทับและลงรักปิดทอง ต่อมาเกิดเหตุการณ์ปูนกะเทาะ ทำให้องค์พระพุทธรูปทองคำที่ซ่อนอยู่ภายในปรากฎออกมา จะได้รับการบันทึกในหนังสือกินเนสส์บุคว่าเป็น " ปูชนียวัตถุที่มีมูลค่าที่สูงที่สุดของโลก"            
        ต่อด้วยเข้าชมนิทรรศการพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร (ชั้น 3 ) ภายในห้องนิทรรศการก็จะรวบรวมไปด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับองค์พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร และการอันเชิญมาประดิษฐานที่พระมหามณฑบวัดไตรมิตรวิทยาราม วรวิหารแห่งนี้  แบ่งเป็นโซนให้ความรู้ดังนี้
1. กำเนิดพระพุทธรูปและพัฒนาการสู่พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร ที่จัดเเสดงสื่อผสม แสง เสียง และภาพ Animation
2. การสร้างพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร โดยนำเสนอข้อสันนิฐานเรื่องแห่ลงที่สร้างและอายุสมัยพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร รวมถึงสิธีการสร้าง โดยมีโมเดลและสื่อผสมแสดงขั้นตอนการทำแม่พิมพ์ การหล่อองค์พระตามวิธีการของช่างไทยโบราณ
 3.พุทธศิลป์สุโขทัยในองค์พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร อธิบายลักษณะของพระพุทธรูปที่ถือว่าเป็นพุทธรูปแบบที่งดงามที่สุดในศิลปะไทย
4.การพอกปูนทับ และลงรักปิดทอง โดยการจัดโมเดลอธิบายขั้นตอนของการทำตามวิธีการของช่างศิลป์ไทย
5.การอัญเชิญมาประดิษฐ์ที่วัดพระยาไกร นำเสนอข้อสันนิฐานการเคลื่อนย้ายผ่าน ภาพ 3 มิติ
6. พ.ศ.2478 อัญเชิญมาประดิษฐาน ณ วัดไตรมิตรวิทยาราม บอกเล่าเรื่องราวการอัญเชิญพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากรจากวัดพระยาไกรสู่วัดไตรมิตรวิทยาราม ผ่านภาพ 3 มิติ
7. พ.ศ. 2498 พระพุทธรูปทองคำปรากฎ จัดเเสดงเหตุการณ์ขณะยกองค์พระขึ้นสู่วิหาร ปูนที่พอกอยู่ได้แตกกระเเทกออกทำให้องค์พระทองคำปรากฎแก่สายตาผู้พบเห็น
8. เนิ้อทองคำ อธิบายลักษณะของ ทองคำเนื้อเจ็ดน้ำสองขา
9. พ.ศ.2499 ข่าวใหญ่ นำเสนอพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ในช่วงที่พระทองคำปรากฎ กลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั่งประเทศ และจัดแสดงภาพเหตุการณืสำคัญนับตั้งแต่ พ.ศ.2499 เป็นต้นมา
10. พ.ศ.2551 อัญเชิญมาประดิษฐานในพระมหามญฑป บอกเล่าเรื่องราวการสร้างพระมหามณฑป และการอัญเชิญพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากรมาประดิษฐานในพระมหามณฑป จนถึงพิธีอัญเชิญและพิธีสมโภชพระมหามณฑป


        ปิดท้ายที่ศูนย์ประวัติศาสตร์เยาวราช (ชั้น 2) ที่นำเสนอเรื่องรายการก่อตั้งและการดำเนินชีวิตของชุมชนเยาวราช โดยการจัดโซนการให้ความรู้ดังนี้
1.เติบใหญ่ใต้ร่มพระบารมี  ฟังคำบอกเล่าจากอากงชาวเยาวราช เพื่อทำความรู้จักเบื้องต้นกับชุมชนชาวจีนสำเพ็ง-เยาวราช อันเป็นย่านการค้าเก่้าเเก่ที่สำคัญของกรุงเทพ โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระมหากษัตริย์ไทยตลอดมา
2. พ.ศ.2325-2394 กำเนิดชุมชนชาวจีนเเห่งกรุงรัตนโกสินทร์  บอกเล่าถึงจุดกำเนิดชุมชนจีนสำเพ็งและการเข้ามาของชาวจีนโพ้นทะเลจนกระทั่งกลายเป็นย่านการค้าที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพ สัมผัสกับประสบการณ์การเดินทางด้วยเรือสำเภาจากเมืองจีนสู่ผืนเเผ่นดินใหญ่ ที่จำลองขึ้นมาใหม่ในบรรยากาศเสมือนจริง
3. พ.ศ.2394 - 2500 เส้นทางสู่ยุคทอง  จัดเเสดงพัฒนาการของชุมชนชาวจีนจากตลาดสำเพ็งย่านธุรกิจสมัยใหม่ที่ถนนเยาวราช ชมโมเดลขนาดใหญ่จำลองถนนเยาวราชย่านธุรกิจและแหล่งบันเทิงที่ทันสมัย โดยรอบโมเดลยังมี ฉาก 3 มิติ 11 ฉากที่แสดงเรื่องราววิถุีชีวิตที่ช่วยให้เกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อวิถีทางสังคมของชาวเยาวราชในยุคนั้น
4. ตำนานชีวิต วีดีทัศน์แสดงตำนานชีวิตของบุคคลชาวเยาวราชที่เป็นแบบอย่าง และสร้างแรงบรรดาลใจให้คนรุ่นหลังในการสรน้างตัวเองจากมือเปล่าสู่การเป็นเจ้าสัว และคนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ได้สร้างคุณประโยชน์อันใหญ่หลวงตอบแทนให้กับประเทศไทยอีกด้วย
5. พระบารมีปกเกล้าฯ  ห้องจัดเเสดงภาพถ่ายและวีดิทัศน์จัดเเสดงเรื่องพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ในรัชกาลปัจจุบันต่อชุมชนเยาวราช และพระราชกรณ๊ยกิจมากมายที่เชื่อมประสานสายสัมพันธ์สองแผ่นดินไำทย-จีนให้แนบแน่นมาจนถึงปัจจุบัน
6. เยาวราชวันนี้ นำเสนอภาพลักษณ์ที่โดดเด่น 4 เเง่มุมของเยาวราชที่เป็นที่อยู่ในปัจจุบัน ที่ได้รับการขนานนามว่า ไชน่าทาวน์ ของกรุงเทพ ได้แก่ ถนนสายทองคำ ย่านตลาดที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ แหล่งวัฒนธรรมประเพณีจีน และแหล่งรวมของอร่อย



การเดินทางมาวัดไตรมิตร
  วัดไตรมิตรวิทยาราม วรวิหาร  ๖๖๑ ถนนเจริญกรุง แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร ๑๐๑๐๐
  รถไฟฟ้าใต้ดิน ลงสถานีหัวลำโพง เดินออกทางออกหมายเลข 1 แล้วเดินต่อไปตามทางจะมีป้ายบอก
  รถเมล์สาย 4 , 21 , 40 , 73 , ป.23 ปอ.1 , ปอ.7 , ปอ.พ.5 , ปอ.พ.14 ,  ปอ.พ.19
  รถยนต์ส่วนตัว ให้ใช้ถนนพระรามที่ 4 ขาเข้ามาตรงแยกหน้าสถานีรถไฟหัวลำโพง



ลักษณะของการนำเสนอ เนื้อหาในแหล่งการเรียนรู้  
1.  แผ่นพับ แนะนำวัดไตรมิตร

2.จัดนิทรรศการ ให้ความรู้

3. ให้ความรู้ผ่านทาง ภาพ Animation , ภาพ 3 มิติ  และโมเดล




การนำแหล่งเรียนรู้ไปใช้ในการสอนวิชา  
       แหล่งเรียนรู้วัดไตรมิตรนี้ เหมาะกับการจัดการเรียนการสอนในวิชาสังคมศึกษา วิชาภาษาไทยและวิชาศิลปะ โดยการพานักเรียนมาทัศนศึกษา นักเรียนจะได้ศึกษาทั้งประวัติศาสตร์ ของแหล่งชุมชนเยาวราชซึ่งเป็นชุมชนจีนที่ยิ่งใหญ่และมีความสำคัญกับประเทศไทยอย่างยิ่ง และยังได้ศึกษาเรื่องราวของพระพุทธรูป และถายในแหล่งเรียนรู้นี้ยังมีรูปปั้นที่สะท้อนให้เป็นความเป็นมาของบุคคลในยุคสมัยก่อน เป็นสื่อที่จะช่วยให้นักเรียนมีความเข้าใจมากขึ้นนั่นเอง

..... เรียนรู้โดยลงมือทำ คือความรู้ที่ลำค่า .......
....เที่ยววัดไตรมิตรวิทยาราม  เดินกลับบ้านด้วยความรู้ที่เต็มเปี่ยม...

ขอบคุณคะ   ^____^



ที่มา : วัดไตรมิตรวิทยาราม วรวิหาร


วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เรื่องไกลตัวที่อยู่ใกล้ตัว : สื่อ นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ


 เมื่อพูดถึงสื่อ นวัตกรรม และเทคโนโลยีสารสนเทศ คุณจะนึกถึงอะไร ??

..  คอมพิวเตอร์    สิ่งประดิษฐ์     ของใหม่ๆ   วิทยาศาสตร์   อนาคต   การติดต่อสื่อสาร ...

      สิ่งที่นึกถึงได้ เหล่านี้ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ สื่อ นวัตกรรม และเทคโลโลยีสารสนเทศนั่นเอง   ถ้าอย่างนั้น เรามาทำความรู้จักกับสื่งเหล่านี้กันก่อนดีกว่าและจะได้รู้ว่ามันสำคัญกับตัวเราอย่างไร ??

นวัตกรรม
    คำว่า“นวัตกรรม” หมายถึงความคิด การปฏิบัติ หรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ที่ยังไม่เคยมีใช้มาก่อน หรือเป็นการพัฒนาดัดแปลงมาจากของเดิมที่มีอยู่แล้ว ให้ทันสมัยและใช้ได้ผลดียิ่งขึ้น เมื่อนำ นวัตกรรมมาใช้จะช่วยให้การทำงานนั้นได้ผลดีมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงกว่าเดิม ทั้งยังช่วย ประหยัดเวลาและแรงงานได้ด้วย

เทคโนโลยีสารสนเทศ
    คำว่า   “เทคโนโลยี”   หมายถึง   การประยุกต์เอาความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์มาใช้ให้เกิดประโยชน์  การศึกษาพัฒนาองค์ความรู้ต่าง ๆ ก็เพื่อให้เข้าใจธรรมชาติ  กฎเกณฑ์ของสิ่งต่าง ๆ    และการนำมาประยุกต์ให้เกิดประโยชน์  
   คำว่า “สารสนเทศ”  หมายถึง  ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์  มนุษย์แต่ละคนตั้งแต่เกิดมาได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ  เป็นจำนวนมาก     เรียนรู้สภาพสังคมความเป็นอยู่    กฎเกณฑ์และวิชาการ
    เมื่อรวมคำว่า “เทคโนโลยี” กับ “สารสนเทศ”  จึงหมายถึง  เทคโนโลยีที่ใช้จัดการสารสนเทศ  เป็นเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องตั้งแต่การรวบรวมการจัดเก็บข้อมูล  การประมวลผล  การพิมพ์  การสร้างรายงาน  การสื่อสารข้อมูล  และยังรวมไปถึงเทคโนโลยีที่ทำให้เกิดระบบการให้บริการ  การใช้  และการดูแลข้อมูล  นั่นเอง

บทบาทและความสำคัญของสื่อ นวัตกรรม และเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่เราต้องรู้ 
พิจารณาและแบ่งออกเป็นด้านต่างๆดังนี้่

       ด้านการศึกษา : ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญสำหรับการศึกษาที่จะมีอุปกรณ์ช่วยในการสื่อสารให้เกิดความรู้ความเข้าใจในการเรียนในเรื่องต่างๆมากยิ่งขึ้น เนื่องด้วยการเรียนในเนื้อหาบางรายวิชาที่เป็นนามธรรม ถ้าเรามีสื่อที่สามารถสื่อสารให้เกิดความเข้าใจเป็นรูปธรรมก็จะทำให้เราเกิดพัฒนาการเรียนรู้ และการสอนก็จะมีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้นนั่นเอง

      ด้านการดำเนินชีวิต : ในสังคมยุคโลกาภิวัตน์ เราจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เราไม่รู้จักนวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ เพราะว่าความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในปัจจุบัน  ทำให้มีเกิดการพัฒนาคิดค้นสิ่งอำนวยความสะดวกสบายต่อการดำรงชีวิตขึ้นมามากมาย  ทำให้การสร้างที่พักอาศัยมีคุณภาพมาตรฐานสามารถผลิตสินค้าและให้บริการต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์ได้มากขึ้น ทำให้ระบบการผลิตสามารถผลิตสินค้าได้เป็นจำนวนมาก  มีราคาถูกลง  สินค้าได้คุณภาพ และเทคโนโลยีสารสนเทศยังให้บริการด้านข้อมูล  ข่าวสาร ทำให้มีการติดต่อสื่อสารกันได้สะดวก  รวดเร็วตลอดเวลา  จะเห็นว่าการดำเนินชีวิตในปัจจุบันของเราเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเป็นอันมากนั่นเอง

       ด้านความสร้างสรรค์ : การผลิตหรือจัดสร้างสื่อ นวัตกรรม และเทคโนโลยีที่สร้างสรรค์ในปัจจุบันมีอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการศึกษาที่ออกแบบมาสำหรับการเรียนรู้ของเด็กในช่วยวัยต่างๆ ในรูปแบบของตัวการ์ตูนทำให้เกิดความน่าสนใจมากขึ้น ด้านความบันเทิงก็จะมีการผลิตโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์  iPad   Taplet  เป็นต้น ทั้งยังมีในรูปแบบของเกม หรือ เเอพลิเคชั่น ต่างๆ ออกมาสู่สายตาโลก สิ่งต่างเหล่านี้ล้วนอยู่รอบตัวเรา สร้างความประหลาดใจ ตื่นตาตื่นใจ อยู่เสมอ และที่สำคัญเราทุกคนก็คงไม่มีใครปฏิเสธว่าไม่เคยใช้ หรือจะไม่ใช้ ดังนั้นทุกคนควรที่จะเปิดโลกทัศน์ให้กล้าวพร้อมเปิดรับสิ่งเหล่านี้ ที่สำคัญควรดูความเหมาะสมของการใช้งาน ความพร้อมสำหรับค่าใช้จ่ายในการซื้อจ่าย

       ด้านสังคมและเศรษฐกิจ : เทคโนโลยีก็ทำให้เกิดการคมนาคมที่เป็นระบบมากยิ่งขึ้น การเดินทางสัญจรามีความสะดวกสบาย และรวดเร็วมากขึ้น มีการติดต่อสื่อสารที่สะดวกและรวดเร็วมากขึ้นจากเมื่อก่อนที่มีการใช้โทรเลข ปัจจุบันก็เปลี่ยนมาใช้การโทรศัพย์หรือใช้ e-mail
เมื่อมีการคมนาคมดีก็จะทำให้มีเศรษฐกิจดีตามมาด้วยเพราะเมื่อคนได้เดินทางก็จะมีการซื้อจ่าย เงินหมุนเวียน เกิดเป็นธุรกิจและทำให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น

       ด้านสาธารณะสุข : ทุกคนจะมีสุขภาพร่างกายที่เเข็งแรงมากขึ้น หรือถ้ามีการเจ็บป่วยก็จะได้รับการรักษาที่ถูกต้องและรวดเร็ว ทั้งนี้ก็เกิดจากการที่มีเทคโนโลยี และนวัตกรรม  เกิดการผลิตคิดค้นการรักษารวมถึงการผลิตยาต่างๆ นอกจากนี้ในปัจจุบันเทคโนโลยียังได้มีการพัฒนาที่จะใช้ระบบการรักษาพยาบาลผ่านเครือข่ายสื่อสาร  เพื่อให้พื้นที่ที่อยู่ห่างไกลได้รับการรักษาและรู้วิธีการดูแลเมื่อเกิดการเจ็บป่าวได้อย่างทั่งถึงนั้นเอง

          ดังที่กล่าวมาคงพอรู้กันแล้วว่าบทบาทและความสำคัญของสื่อ นวัตกรรม และเทคโนโลยี เป็นเรื่่องที่สำคัญและยุ่งเกี่ยวกับตัวเราไม่มากก็น้อย ทั้งนี้สิ่งเหล่านี้ที่มีประโยชน์มีความสำคัญก็ย่อมมีโทษถ้าหากว่าผู้ใช้นำไปใช้ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม ดังนั้นเป็นเรื่องที่จำเป็นมากที่เราจะด้องทำความรู้จักให้มากเพียงพอที่จะสามารถนำสื่อ นวัตกรรม และเทคโนโลยี ไปให้เกิดผลประโยชน์ต่อตนเอง สังคม และประเทศชาติมหเมากที่สุด

   เพราะ ..ถ้าคุณไม่รู้จัก คุณจะคุยกันคนอื่นไม่รู่เรื่อง ..

  


.. ในบางครั้งอาจจะมองว่าเป็นสิ่งที่อยู่ไกลตัว 
แต่เเท้ที่จริงแล้ว อยู่ใกล้ตัวเพียงเเค่นิดเดียว  ...


......................

วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555

SIMSIMI ลูกเจี๊ยบพูดไม่เพราะ

ข่าวเกี่ยวกับจริยธรรมทางคอมพิวเตอร์

ไอซีที เตือนเล่น “SimSimi” ซิมชิมิ โพสต์ชื่อบุคลล มีความผิดอาญา
      (3 ก.พ.) น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร (ไอซีที)  เปิดเผยถึงกรณี กระแสการเล่นแอปพลิเคชัน “Simsimi” ที่กำลังได้รับความนิยมในประเทศไทยขนาดนี้ว่า แอปพลิเคชั่นดังกล่าวมาจากประเทศเกาหลี  มีลักษณะเป็นการพูดคุยโต้ตอบสนทนาในทุกๆเรื่อง ขณะเดียวกันมีการใช้ภาษาที่ไม่สุภาพ และไม่เหมาะสม รวมไปถึงการพิมพ์ชื่อบุคคลแล้วมีคำหยาบคาย หรือเข้าข่ายหมิ่นประมาท
        อีกทั้งยังมีการโพสต์ข้อความดังกล่าวลงบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะบน Facebook ทำให้เป็นการขยายวงกว้างในการรับรู้ สำหรับคำบางคำที่ไม่สมควรต่อประชาชนคนอื่นๆ ดังนั้นทางกระทรวงไอซีทีจึงมีการติดตามว่า การโพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ มีคำไหนบ้างที่ไม่สมควรในการเผยแพร่
       ทั้งนี้ในกรณีที่มีการพิมพ์ชื่อบุคคลสำคัญ หรือที่มีชื่อเสียง แล้วแอปพลิเคชั่นตอบกลับมา เป็นคำหยาบคายจำนวนมากนั้น ถือว่าเข้าข่ายหมิ่นประมาทบุคคลนั้นทันที ยิ่งการส่งต่อหรือการโพสต์ข้อความดังกล่าวผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ก ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ผิด และมีโทษตามกฎหมายอาญาเช่นกัน



ระวัง!โพสต์ชื่อบุคคลภูกฟ้องหมิ่นฯ
        'ไอซีที' ยันโปรแกรม 'ซิมซิมิ' ไม่ผิดก.ม. เตือนพิมพ์ชื่อบุคคลแล้วโพสต์ผ่านโซเชียล เจอข้อหาหมิ่นประมาท ด้าน วธ.วอนผู้ใช้ ถามอย่างสุภาพ ขณะที่ ผอ.สำนักเฝ้าระวังฯ เร่งประสานขอเจ้าของระบบคัดกรองคำไม่เหมาะสม
2 ก.พ. 55   นายณัฐ พยงค์ศรี นักวิชาการคอมพิวเตอร์ปฏิบัติการ พนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 กระทรวงไอซีที กล่าวว่า ไอซีทีได้ทราบข่าวเรื่องการใช้งานก็มีความกังวลใจเกี่ยวกับคำหยาบและภาษาที่ใช้ จึงได้ส่งอีเมลไปถึงผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่นที่เกาหลีใต้เพื่อสอบถามว่ามีการควบคุมหรือคัดกรองคำหยาบอย่างไรบ้าง เมื่อ 1-2 วันที่แล้ว
โดยผู้พัฒนาได้ขอโทษมาในเบื้องต้น โดยบอกให้ไอซีทีและผู้ที่เกี่ยวข้องแจ้งคำที่ไม่เหมาะสมไปให้ อย่างไรก็ตามแอพพลิเคชั่นดังกล่าวต้องใช้เวลาในการเก็บข้อมูล ซึ่งช่วงแรกยังมีจำนวนผู้ใช้งานน้อยทำให้มีคำในฐานข้อมูลน้อย จึงต้องใช้เวลาในการเก็บข้อมูลอีกระยะหนึ่ง
ไอซีทีไม่สามารถบล็อกหรือปิดกั้นการเข้าถึงแอพพลิเคชั่นนี้ได้ เพราะเป็นสิทธิเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูล อีกทั้งการใช้งานซิมซิมิไม่มีอะไรที่เข้าข่ายผิดตาม พ.ร.บ.คอมพ์ 2550 แต่ถ้านำไปใช้ในทางไม่ดี เช่น ถามชื่อคนที่ไม่ชอบแล้วโปรแกรมตอบมาด้วยคำหยาบ โดยผู้ถามก๊อบปี้หน้าจอ แล้วนำไปเผยแพร่ต่อในสื่อสังคมออนไลน์ ก็อาจเข้าข่ายทำให้ผู้อื่นเสียงชื่อเสียง เป็นการหมิ่นประมาทมีความผิดตามกฎหมายอาญาได้" นายณัฐ กล่าวเตือน

สรุปประเด็นของข่าว
   เเอพลิเคชั่นที่มีชื่อว่า Simsimi เป็นหนึ่งในแอพพลิเคชั่นที่เข้ามามีบทบาทอยู่ในโลกออนไลน์ยุคปัจจุบัน เป็นบอทแชท (Chatting Robot) เหมือนกับแอพพลิเคชั่นที่เอาไว้พูดคุยกันธรรมดาทั่วไป  ที่โต้ตอบพูดคุยเหมือนกับเพื่อน ๆ ทั่วไป แต่ Simsimi สามารถโต้ตอบและพูดคุยเป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษได้ บางคำตอบก็มาพร้อมกับความยียวน กวนประสาท หยาบคาย กล่าวถึงบุคคลอย่างไม่เหมาะสม หมิ่นประมาท และเมื่อมีผู้ที่นำข้อความเหล่านี้ไปเผยแพร่ต่อสาธารณะก็ทำให้บุคคลที่ถูกกล่าวถึงผ่านทาง Simsimi เกิดความเสื่อมเสียชื่อเสียงได้ ICT(ไอซีที) จึงมาการออกมา่เตือนผู้ที่ใช้แอพพลิเคชั่นนี้ว่าควรระมัดระวังคำพูด ข้อความตอบโต้ ขอให้อยู่ในขอบเขต ไม่ใช้คำหยาบคาย หรือใช้คำไม่เหมาะสม และรวมไปถึงผู้ที่จะนำข้อความตอบโต้เหล่านี้ไปโพสต่อหรือเผยแพร ว่าห้ามกระทำ ให้เพราะอาจมีความผิดตามกฏหมายได้

วิเคราะห์ผลของการกระทำ
 ผู้ที่จะเข้าข่ายกระทำความผิด
1. ผู้ที่ใช้ข้อความตอบโต้ใน Simsimi  ไม่เหมาะสม ใช้คำหยาบคาย
2. ผู้ที่ใช้ข้อความตอบโต้ใน Simsimi  กล่าวถึงบุคคลอื่นอย่างไม่เหมาะสม หมิ่นประมาทผู้ื่อื่น ทำให้ผู้อื่นเสียหาย
3. ผู้ที่นำข้อความดั่งกล่าวในข้อ 1,2 ไปโพส หรือ เผยแพร่ในที่สาธารณะ หรือผ่านทา่งสังคมออนไลน์โดยไม่ได้รับอนุญาต
4. ผู้ที่เห็นชอบด้วยกับการกระทำที่กล่าวมา และสนับสนุนการกระทำดังกล่าว
การกระทำดังที่กล่าวมาจะเข้าข่ายกระทำความผิด ตาม
 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐  และมีบทลงโทษ ดังนี้

มาตรา ๙       ผู้ใดทําให้เสียหาย ทําลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกิน หนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

มาตรา ๑๐    ผู้ใดกระทําด้วยประการใดโดยมิชอบ เพื่อให้การทํางานของระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ถูกระงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนจนไม่สามารถทํางานตามปกติได้ต้องระวางโทษจําคุก ไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
มาตรา ๑๒    ถ้าการกระทําความผิดตามมาตรา ๙ หรือมาตรา ๑๐
        (๑) ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน ไม่ว่าความเสียหายนั้นจะเกิดขึ้นในทันที หรือในภายหลัง และไม่ว่าจะเกิดขึ้นพร้อมกันหรือไม่ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสิบปีและปรับไม่เกินสองแสนบาท
        (๒) เป็นการกระทําโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรือระบบ คอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคง ในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือการบริการสาธารณะ หรือเป็นการกระทําต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรือระบบคอมพิวเตอร์ที่มีไว้เพื่อประโยชน์สาธารณะ ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงสามแสนบาท
ถ้าการกระทําความผิดตาม (๒) เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี

มาตรา ๑๔     ผู้ใดกระทําความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
         (๑) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
         (๒) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิด ความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน
         (๓) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง แห่งราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา
         (๔) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ ที่มีลักษณะอันลามก และข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้
         (๕) เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ตาม (๑) (๒) (๓) หรือ(๔)

มาตรา ๑๕      ผู้ให้บริการผู้ใดจงใจสนับสนุนหรือยินยอมให้มี การกระทําความผิดตามมาตรา ๑๔ ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของตน ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้กระทําความผิดตาม มาตรา ๑๔



ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ 
     ในยุคปัจจุบันนี้การไปห้ามไม่ให้ใครใช้แอพลิเคชั่นต่างๆคงยากเพราะเป็นสิทธิ์ของแต่ละบุคคลที่จะใช้ และทุกวันนี้การใช้งานแอพลิเคชั่นเป็นระบบแบบออนไลน์ใช้กันทั่วโลก  ใครก็สามารถดาวน์โหลดใช้งานต่างๆได้อย่างอิสระ    ในที่นี้จึงได้ยกตัวอย่างของการใช้แอพ Simsimi เพราะ Simsimi เป็นโปรแกรมที่มีประโยชน์ทั้งและโทษจากการใช้อย่างไม่ถูกต้อง ประโยชน์ของ Simsimi คือใช้ติดต่อสื่อสารระหว่างกันเพื่อความสนุกสนาน ใช้ Simsimi เป็นเพื่อนคุยเเก้เหงา ส่วนโทษของ Simsimi ก็คือถ้าเีราผิมข้อความที่หยา่บคายไป Simsimi จะจดจำและนำคำพูดเหล่านั่นไปใช้ต่อ และมีการโต้ตอบแบบไม่เหมาะสมเกิดขึ้นนั้นเอง  ดังนั้นจึงอยากให้ทุกคนได้ตระหนักถึงขอบเขตการใช้งาน ความถูกต้อง ความเหมาะสม และไม่ว่าจะเป็นแอพลิเคชั่นใดๆ ผู้ใช้ก็ควรที่จะระมัดระวังการใช้งาน ใช้คำพูด ภาษา ในการตอบโต้ สนทนา ด้วยเช่นกัน เพราะ ผู้ที่ใช้ Simsimi อย่างไม่เหมาะสมจะเกิดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมด้วย เพราะเมื่อมีการสื่อสารผ่านแอพพลิเคชั่นก็อาจมีการเผยแพร่ข้อความของเราได้ทุกเมื่อ ถ้าคำพูดที่ใช้มีผลกระทบต่อบุคคลอื่น ก็จะทำให้มีความผิดด้วยนั่นเอง ที่สำคัญในปัจจุบันมีเยาวชนใช้คอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์ที่สามารถดาวน์โหลดโปรแกรม Simsimi ได้เป็นจำนวนมาก ผู้ปกครองควรให้คำแนะนำและคอยสอดส่องดูแลพฤติกรรมและอย่าให้เยาวชนเหล่านี้ใช้แอพลิเคชั่นเพื่อความสนุกสนานจนลืมความถูกต้องและเหมาะสม นะคะ

 ...  การเล่นแอพมีความเสี่ยงที่จะทำผิดกฏหมาย
         ผู้ใช้โปรดศึกษาข้อมูลของแอพก่อนตัดสินใจดาวน์โหลด  ...

ด้วยความเป็นห่วงจากเจ้าของ Blog   ^_____^



ขอบคุณที่มา

http://www.siamwing.com/show/609456

http://news.tlcthai.com/news/18464.html

http://www.bbberry.net/webboard/viewthread.php?tid=7079


วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เรื่องของชื่อ ที่อยากเล่า

     มาเริ่มทำความรู้จักกันก่อนดีกว่า ฉันชื่อว่า วิชชุญา สุเจตน์จิตต์   ชื่อและนามสกุลของฉันนั้น บางคนอาจจะไม่ได้เห็นหรือได้ยินชื่อที่เขียนแบบนี้ เพราะเท่าที่ผ่านมา น้อยคนนักที่จะอ่านชื่อและนามสกุลของฉันได้อย่างถูกต้อง บ้างก็อ่านชื่อว่า วิ-ชุ-ยา, วิ-ชุ-ดา, วิด-ชุ-ดา ,สุ-เจน-จิด, สุ-เจด-จิน ซึ่งชื่อที่อ่านผิดเหล่านี้ล้วนแต่เป็นชื่อของคนอื่นทั้งนั้น แต่ก็มีคนมักนำมาเรียกตัวฉัน 555 ฉันจึงคิดว่าควรที่จะแนะนำชื่อและนามสกุลของฉันอย่างเป็นทางการก่อนดีกว่า  ชื่อของฉัน   วิชชุญา อ่านว่า วิด-ชุ-ยาแปลว่า หญิงผู้มีความรู้   นามสกุล สุเจตน์จิตต์   อ่านว่า สุ-เจด-จิด  แปลว่า จิตและเจตนาที่ดี รวมแล้วทั้งชื่อและนามสกุลก็จะแปลว่า หญิงผู้มีความรู้ มีจิตและเจตนาที่ดี นั้นเอง ^^  ซึ่งต่อจากนี้ฉันคิดว่าน่าจะมีคนที่อ่านและเขียนชื่อของฉันได้ถูกต้องมากขึ้นแล้วละ..            
                ฉันมีชื่อเล่นว่า ปุยฝ้าย  ในส่วนของชื่อเล่นของฉันก็อยากจะเล่าให้ฟังอีกว่า ตั้งแต่ฉันจำความได้ มีคนที่เรียกฉันว่า ปุยฝ้าย ก็คือ คุณพ่อคุณแม่ คนในครอบครัว เพื่อนสมัยอนุบาล เพื่อนสมัยประถม และก็เพื่อนในมหาวิทยาลัย คงเริ่มสงสัยแล้วสินะว่า มีช่วงหนึ่งที่ขาดไป นั้นก็คือ เพื่อนสมัยมัธยมต้น และเพื่อนสมัยมัธยมปลายเพราะมันเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามากที่ชื่อปุยฝ้ายนี้ เป็นชื่อที่ โหลมาก  นั่นหมายถึง มีคนที่ชื่อปุยฝ้ายมากกว่า 1 คนนั้นเอง 555  ย้อนไปสมัยมัธยมต้น ฉันเข้าเรียนที่โรงเรียนศรียานุสรณ์ จังหวัดจันทบุรี อยู่ห้อง ม. 1/5  ซึ่งในห้องนี้มีคนชื่อ ปุยฝ้าย อยู่ถึง 3 คนด้วยกัน ( T..T)   คิดว่าน่าเศร้ามั้ยละ ที่เวลามีคนเรียก ปุยฝ้าย แล้วต้องหันมาถึง 3 คน ดังนั้น คำว่า ฉายา จึงได้ริเริ่มเกิดขึ้น ที่นี้ละคะ สนุกปากกันเลยทีเดียว ฉายาของฉันได้เกิดขึ้นมากมาย แต่ฉันขอไม่พูดถึงละกัน (อายคะ >,,<)  โดยฉายาที่เป็นอันว่าเรียกฉันติดปากมาตั้งแต่ ม. 1 จนถึง ม.3 ก็คือฉายาว่า ลูกหมอ ที่มาของชื่อนี้ ก็ตรงตัวคะ พ่อของฉันเป็นหมอ ฉันเป็นลูกคุณหมอ  ก็เลยถูกเรียกว่า ลูกหมอ โดยอาจารย์ที่ปรึกษาของฉันตอนม.1 เป็นผู้ริเริ่มเรียกนั้นเอง ดังนั้นชื่อ ปุยฝ้าย ของฉันจึงถูกระงับใช้ไปชั่วคราว  Y_Y  เป็นเวลา 3 ปี พอขึ้นชั้น ม.4 ฉันก็ได้สอบเค้าห้องเรียนสายวิทยาศาตร์- คณิตศาสตร์  ได้อยู่ห้อง 6/13 ซึ่งเป็นห้องเรียนวิทยาศาสตร์พิเศษของโรงเรียน ในห้องนี้มีสมาชิกในห้อง 39 คน ซึ่งก็มีคนชื่อ ปุยฝ้าย อยู่ด้วยกัน 2 คนด้วยกัน (อีกแล้วววว ) เวลาเอ่ยนามกัน ก็ 2 คนอีกนั้นแหละที่หันพร้อมกัน ดังนั้น ฉายา มันจึงได้ก่อร่างสร้างตัวขึ้นอีกครั้ง ฉายาที่ลงตัวที่ใช้เอ่ยนามของฉัน ก็คือ วิชชี่ ซึ่งที่มาของชื่อนี้ มาจากเพื่อนๆที่ร่วมกันตั้ง เพราะอยากไฮโซ มีชื่อแบบอินเตอร์ เลยนำชื่อจริงของแต่ละคนมาตัดและแต่งเติมด้วยเสียง อี่ เช่น ฉันชื่อ วิชชุญา ก็กลายเป็น วิชชี่ นั้นเองคะ ชื่อนี้ของฉันก็ติดอันดับยอดนิยมเรียกกันทั้งห้อง รวมไปถึงอาจารย์ที่สอนในโรงเรียนด้วย และก็อีกเช่นเคย ชื่อ ปุยฝ้าย จึงได้ถูกระงับใช้ไปอีก 3 ปีจนฉันจบชั้น ม. 6 นี่ถ้าที่บ้านฉันไม่เรียกฉันว่า ปุยฝ้าย ฉันคงลืมไปเลยว่าละตัวเองมีชื่อเล่นว่าอะไร 555  และเมื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็ได้เค้ามาเรียนที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เอกคณิตศาสตร์(กศ..) ครูคณิตศาสตร์นั้นเอง ตอนที่แนะนำตัวเพื่อนๆในเอก ฉันอยากจะบอกว่า ฉันแอบลุ้น(แบบสุดๆ)ว่า ชื่อของฉันจะถูกระงับใช้อีกมั้ย 555 และเหมือนสวรรค์เห็นใจ ไม่ส่งใครที่ชื่อ ปุยฝ้าย มาเป็นเพื่อนในเอกเดียวกันคะ ดังนั้นชื่อ ปุยฝ้าย จึงได้กลับมาเปิดตัวและใช้งานตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบันนี้ นั้นเอง ^^





 าเล่าถึงความคุ้นเคย ของปุยฝ้าย



 ฉันเกิดในช่วงสายของวันพุธที่ 16 เดือนตุลาคม พ.ศ. 2534  
 คุณพ่อทำอาชีพรับราชการ เป็นคุณหมอ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี  
 คุณแม่ทำอาชีพรับราชการ เป็นคุณพยาบาล ฉันเกิดและโตมาในจังหวัดจันทบุรี 
มีพี่น้อง 3 คน  ฉันเป็นลูกสาวคนโต ตามด้วยน้องสาวและน้องชาย
   อุปนิสัย เป็นคนร่าเริง คุยเก่ง ชอบเม้าท์ จริงจัง เครียดง่าย คิดมาก โกรธไม่ค่อยง่าย  แต่ถ้าโกรธแล้วโกรธจริง เป็นคนที่หัวเราะอร่อยมาก ที่ว่าอร่อยนี้ก็ไม่รู้ว่าเหมือนกันว่าเป็นยังไง   เพราะมีแค่เพื่อนบอกมา 555 รู้แต่ว่าจะหัวเราะออกมาแบบไม่อายเลย อยากหัวเราะก็เอาให้สุดๆ    ชอบทำให้คนอื่นยิ้ม หัวเราะ สนุกไปกับเราด้วย จึงมักมีเรื่องเล่ามาเล่าให้เพื่อนฟัง  และก็เป็นที่มาของคำว่า “ ขำ เพราะ ไม่ขำ ” นี่ละ 555  เป็นคนกินเก่งมาก (ดูจากหุ่นก็น่าจะรู้)  ชอบชวนเพื่อนไปหาของกิน สรรค์หาสถานที่และชวนเพื่อนๆและครอบครัวไปกิน สิ่งที่ชอบทำในเวลาว่างคือ ดูการ์ตูน อาจจะเป็นเพราะว่า ชอบดูมาตั้งแต่เด็กๆ เลยติดมา  จนเข้ามหาวิทยาลัยแล้วก็ยังดูการ์ตูนอยู่เลย  คุณแม่เคยพูดว่า จะเป็นคุณครูอยุ่แล้ว ยังดูการ์ตูนอยู่เลย เดี๋ยวตอนไปสอนนักเรียนก็อย่าชวนนักเรียนดูการ์ตูนละกัน 555    
แต่เดี๋ยวนี้พอมีกระแสซีรี่ย์เกาหลีเข้ามา ก็เริ่มตามกระแสบ้างละ พอได้ดูก็ติดงอมแงม อิอิ   จนโดนคุณพ่อบ่นบ้างในบางครั้ง  ชอบอ่านหนังสือเรียนบ้างเล่นบ้าง ปะปนกันไป   ชอบเขียนไดอารี่บันทึกเรื่องราวในแต่ละวันที่ทำไป เก็บความทรงจำที่ดี ไว้เป็นอักขระ    ชอบวาดรูประบายสีและแต่งรูปสวยๆ และที่ชอบทำมากอีกอย่างหนึ่งก็คือชอบทำอาหาร เวลาอยู่ที่บ้านจะถือว่าเป็นอาชีพหลักเลย เพราะคุณแม่จะไม่ค่อยมีเวลา อาหารในแต่ละมื้อโดยส่วนใหญ่ก็จะมาจากฝีมือปลายจวักของดิฉันนั้นเอง ถ้าถามว่าอร่อยมั้ย ฉันทำเองชิมเองก็ต้องขอบอกว่า สุดยอด 555   ก็ไม่รู้สิ   ถ้าอยากจะรู้ก็ต้องลองลิ้มรสด้วยตนเองละคะ ^^     



      ปัจจุบันนี้ฉันก็เป็นนิสิตชั้นปีที่ 3 เอกคณิตศาสตร์ หลักสูตรการศึกษาบัณฑิต 5 ปี 
คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มีเพื่อนๆในเอก  37 คน 
และก็มีเพื่อนที่สนิทมากๆ อยุ่ในกลุ่มเดียวกัน ซึ่งมีสมาชิกอยู่ 7 ตน 
 สงสัยมั้ยละว่าทำไมฉันถึงเรียกว่าแทนสมาชิกทั้ง 7 นี้ว่าตน
 ก็เพราะว่าเราทั้ง 7 เปรียบเสมือน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก (5555 ) ที่มารวมตัวกันในกลุ่มนี้ได้ ทั้งๆที่นิสัย ลักษณะ หน้าตา ผิวพรรณ บ้านเกิด ก็ต่างกัน  เอาเป็นว่าทั้ง 7 ต่างมีข้อที่แตกต่างกันมากมาย
 แต่สุดท้ายแล้วเราก็มารวมตัวกัน สนิทสนมกัน เคยไปเที่ยวด้วยกัน นอนด้วยกัน กินด้วยกัน
 หัวเราะด้วยกัน ร้องไห้ด้วยกัน และร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน  กลุ่มพวกเราชอบที่จะพูดคุยกันอยุ่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเเซวเล่น ด่ากัน พูดจิกกัดกัน ตะโกนคุยกัน เรียกชื่อกันด้วยเสียงประมาณว่าห่างกันประมาณ 3 กิโลเมตรก็ยังได้ยิน  และน้อยครั้งมากที่จะชมกัน  ฉันคิดว่าพวกเราคงไม่ค่อยชอบความเงียบละมั้ง เลยมักส่งเสียงโหวกแหวกโวยวาย เรียกร้องความสนใจอยู่เสมอ  555  กลุ่มของเราชอบออกหากิน(อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะ)   ฉันหมายถึงออกไปกินข้าวในสถานที่ต่างๆ เช่น Shabushi , หมูกระทะ , ส้มตำ , KFC และอื่นๆอีกมากมาย
ในบางครั้งพวกเราก็เคยมีปากเสียงกัน เข้าใจผิดกัน รวมไปถึงทะเลาะกันเลย แต่ทุกครั้งพวกเรากลับมาคืนดีและคุยกันด้วยดีเสมอ ไม่ว่าจะเกิดปัญหากันกับเพื่อนสักกี่ครั้งฉันก็คิดว่า สิ่งต่างๆเหล่านั้นจะทำให้พวกเราเข้าใจกันและรู้จักนิสัยใจคอกันมากขึ้น  
ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ขอบคุณที่อยู่เคียงข้างกันเสมอ
และต่อจากนี้ไปฉันรักเธอไม่น้อยลง นะ  7 wonders of the world  ^____^

    





สุดท้ายก็ขอฝากเนื้อฝากตัว และหัวใจ ไว้กับ blog นี้ด้วยนะคะ

... ไม้เรียว กับ เข็มฉีดยา ....

              


.... แค่ ....
... มีเพียงชื่อ ก็สื่อให้รู้ได้.....